วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

อุลตร้าแมน

เรือนกายมีสีเงินตัดสลับกับแดง มีปุ่มไฟสัญญาณบนหน้าอก ต่อสู้บนพื้นโลกได้เพียงสามนาที และมีลำแสงไว้พิชิตคู่ต่อสู้



ภาพจาก : twitter.com/tsuburayaprod
ลักษณะที่กล่าวไปนี้คือภาพจำของมนุษย์ยักษ์แห่งแสงจากดาว M-78 หรือที่ถูกเรียนขานกันในชื่อว่า ‘อุลตร้าแมน’ ผลงานแนวโทคุซัทสึที่คนไทยมักจะเรียกกันว่า หนังแปลงร่าง ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1966 โดย บริษัท ซึบูราญ่า โปรดักชั่นส์ ตอนนี้ฮีโร่ในนามว่าอุลตร้าแมนกลับมาอีกครั้งในช่องทาง Netflix และไม่ใช่การปรากฎตัวแบบยักษ์ใหญ่ปราบสัตว์ประหลาด แต่เป็นเกราะเหล็กดูทันสมัย และในเรื่องยังมีการปรากฎตัวของอุลตร้าเซเว่นกับอุลตร้าแมนเอซ ที่ก็เป็นคนใส่เกราะเหล็กเหมือนกัน
แต่อุลตร้าแมนในรูปลักษณ์ใหม่เป็นกาารปรับตัวตามยุคสมัย หรือต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อเลี่ยงบาลีบางประการกันแน่?

Ultraman ฉบับ Netflix มีที่มาที่ไปอย่างไร?

อุลตร้าแมนฉบับ Netflix ไม่ได้เป็นการสร้างงานใหม่หมดจดเสียทีเดียว แต่เป็นการดัดแปลงจากมังงะของอาจารย์ Shimizu Eiichi กับอาจารย์ Shimoguchi Tomohiro คู่หูนักเขียนที่สร้างชื่อจากการเขียนมังงะเรื่อง Kurogane No Linebarrel อันเกิดจากความเป็นโอตาคุของการ์ตูนแนวหุ่นยนต์ และพวกเขาเองก็ยังอินกับหนังแนวโทคุซัทสึ ไม่ต่างกับเด็กยุด 80-90s คนอื่นๆ พวกเขายังเคยเขียนโดจินชิ (หรือหนังสือทำมือ) ที่ตีความฮีโร่แปลงร่างคนอื่นมาก่อนแล้ว ทาง ซึบูราญ่า โปรดักชั่นส์ ที่เป็นผู้ดูแลตัวละครอุลตร้าแมน จึงได้เสนอให้นักเขียนคู่นี้มาทำการวาดมังงะเรื่องใหม่ที่เกี่ยวกับฮีโร่คนนี้

ภาพจาก : DEXpress
ณ ตอนแรกนักเขียนทั้งสองคนก็ปฏิเสธข้อเสนอ แต่สุดท้ายเมื่อพวกเขาได้รับทราบโจทย์ว่า มังงะเรื่องใหม่จะให้ตีความอุลตร้าแมนที่ไม่ได้มีร่างยักษ์ อาศัยอยู่ในโลกอนาคตอันใกล้ และเป็นการพยายามต่อสู้ของผู้มีพลังพิเศษที่ใส่เกราะต่อสู้กับสัตว์ประหลาด และอยากได้ลักษณะคล้ายกับคอมิกส์ซูเปอร์ฮีโร่ของฝั่งอเมริกา ซึ่งใกล้เคียงแนวคิดของนักเขียนคู่นี้ พวกเขาจึงตกลงยอมรับข้อเสนอและเริ่มพัฒนามังงะเรื่องใหม่
ไอเดียในช่วงแรกๆ ระบุว่าจะให้เป็นเรื่องที่ไม่มีสัตว์ประหลาด ก่อนที่นักเขียนทั้งสองคนจะยื่นโครงเรื่องให้มีการเชื่อมโยงกับเรื่องราวดั้งเดิม พัฒนาปมตัวละครให้เข้มข้นขึ้น ในขณะเดียวก็ทำให้คนที่เคยดูอุลตร้าแมนต้นฉบับอินได้

ภาพจาก : heros-ultraman.com
สุดท้ายมังงะอุลตร้าแมนที่ถือว่าเป็นภาคแยกภาคใหม่ก็ได้กำเนิดขึ้น ตัวเรื่องยึดเอาช่วงเวลาหลังจากอุลตร้าแมนตนแรกเดินทางออกจากโลกนี้ไปแล้วเป็นเวลาหลายสิบปี และโลกไม่ถูกรุกรานจากมนุษย์ต่างดาวอีกแล้ว จนกระทั่งเหตุการณ์เมื่อ 12 ปีก่อนเนื้อเรื่องจะเริ่มต้นขึ้นได้มีมนุษย์ต่างดาวบุกเข้ามาบนโลกและก่อเหตุวุ่นวาย จนทำให้หน่วยวิทยะต้องเคลื่อนไหวอย่างจริงจังอีกครั้ง และคราวนี้เป็นหน้าที่ของ ฮายาตะ ชินจิโร่ ที่ได้รับ “พันธุกรรมของอุลตร้าแมน” มาจาก ฮายาตะ ชิน มนุษย์โลกที่เคยรวมร่างกับอุลตร้าแมน ทำให้เด็กหนุ่มที่มีกำลังเหนือปกติต้องสวมเกราะเหล็กและรับรู้ความจริงเกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในห้วงอวกาศ โดยมีโลกเป็นเวทีของสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์

อะไรที่ Ultraman ดึงมาจากซีรีส์ต้นฉบับบ้าง?


ภาพจาก : Anime News Network
แม้ว่าใน Ultraman ฉบับฉายบน Netflix จะปรับเรื่องให้ตัวละครมาใส่ ‘อุลตร้าแมนสูท’ เข้าต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว กระนั้นด้วยความเป็นแฟนหนังแนวโทคุซัทสึของผู้เขียนมังงะทั้งสองคน ก็ทำให้พวกเขาตั้งใจเก็บกิมมิคหลายอย่างจากซีรีส์ภาคหลักเอาไว้ อย่างกลุ่มของตัวละครที่เป็นมนุษย์ต่างดาวนั้นยังคงเป็นกลุ่มเดียวกับซีรีส์หลัก อาจจะมีเปลี่ยนดีไซน์ให้เข้ากับท้องเรื่อง ที่เห็นได้ชัดก็คงจะเป็นมนุษย์ต่างดาวดาด้า ที่ในอุลตร้าแมนฉบับดั้งเดิมจะมีความน่ารักอยู่เยอะ (จริงๆ เขาก็โหดอยู่นะครับ แต่มีบางภาคแหละที่น่ารักน่าชัง) ก็ปรับให้มาเป็น อาแด็ด (Adad หรือการเขียนชื่อ ดาด้า แบบกลับหลัง) และมาพร้อมกับมาดสายลับมากความลับแทน

ภาพจาก : twitter.com/heros_ultraman
ตัวละครหลักก็มีการอิงกิมมิคมาชัดเจน อย่างโมโบโรชิ ดัน ที่ใส่อุลตร้าแมนสูทเซเว่น กับโฮคุโตะ เซย์จิ ที่ใส่อุลตร้าแมนสูทเอซ ก็ใช้ชื่อตัวละครเหมือนเดิมกับฝั่งซีรีส์คนแสดง ส่วนชุดเกราะก็อ้างอิงจากตัวอุลตร้าแมนต้นฉบับ อย่างตัวอุลตร้าเซเว่นสูทที่ตัวต้นฉบับสามารถดึงอายสลักเกอร์จากหัวมาใช้เป็นอาวุธได้ก็กลายมีดบินแทน และท่าโจมตีที่เป็นลำแสงตัดผ่าศัตรูก็โดนตีความกลายเป็นดาบ ฝั่งโฮคุโตะ เซย์จิ ก็เป็นการดึงเอาชื่อมาจากซีรีส์คนแสดง และชุดเกราะอุลตร้าแมนเอซสูทก็มีท่าไม้ตายที่อ้างอิงมาจากต้นฉบับ ท่าเรียกชุดเกราะของเขาก็อิงมาจากท่าแปลงร่างของอุลตร้าแมนในซีรีส์ต้นฉบับเช่นกัน ส่วนอุลตร้าแมนสูทของชินจิโร่ ก็ยังมีกิมมิคที่ปลดลิมิตเตอร์แล้วใช้งานได้สามนาทีเหมือนกับอุลตร้าแมนทุกตนเวลาลงมาสู้บนโลกนั่นเอง
อีกส่วนที่อนิเมะ Ultraman ใช้ คือ วิธีสร้างโดยให้นักแสดงมาทำการแสดงแล้วเก็บภาพไว้ไปสร้างคอมพิวเตอร์กราฟิกเพื่อทำอนิเมะในภายหลัง ขั้นตอนในการถ่ายทำงานก็ละม้ายคล้ายซีรีส์ดั้งเดิม แค่สลับจากการใส่เสื้อผ้าหรือชุดยางมาเป็นการใส่อุปกรณ์โมชั่นแคปเจอร์แทนนั่นเอง

ถ้าเช่นนั้น Ultraman ฉบับ Netflix ถือว่าเป็นภาคแยกภาคแรกของซีรีส์นี้หรือไม่?


ภาพจาก : www.ebookjapan.jp
สำหรับแฟนอุลตร้าแมนน่าจะทราบกันดีกับคำตอบของคำถามนี้ แต่ท่านที่ไม่คุ้นเคยอาจจะไม่ทราบว่าทางญี่ปุ่นมีการจัดทำมังงะภาคแยกที่ตีความเรื่องราวใหม่มาหลายครั้ง ที่เด่นๆ ก็คงจะต้องยกให้มังงะ The Ultraman ของอาจารย์ Uchiyama Mamoru ผู้ล่วงลับ ตัวมังงะยึดโครงเรื่องหลักจากซีรีส์อุลตร้าแมนต้นฉบับ แต่จะเล่าเรื่องการต่อสู้ครั้งใหม่ที่เน้นสนามรบอยู่ในอวกาศมากขึ้น และมีการใส่ตัวละครใหม่เข้ามา อาทิ เมลอส (Melos) นักรบอุลตร้าที่มาพร้อมกับชุดเกราะที่สภาพดูน่าเกรงขาม และต้องเผชิญหน้ากับตัวร้ายอย่าง ราชาปิศาจแจ็คคัล (Jackal) ที่เล่นงานพี่น้องอุลตร้าจนพลาดท่าได้

ภาพจาก : www.amazon.co.jp
มังงะภาคแยกอีกเรื่องหนึ่งที่น่าพูดถึงก็คงไม่พ้น Ultraman Story 0 ที่ได้อาจารย์ Mafune Kazuo ที่หลายคนน่าจะจดจำผลงานเด่นอย่างเรื่อง Super Doctor K ของอาจารย์ได้ดี โดยมังงะฉบับนี้เป็นการเล่าเรื่องก่อนที่อุลตร้าแมนทุกคนจะมาทำหน้าที่ปกป้องโลก พวกเขาเคยแวะเวียนดาวไหน ฝึกวิชามาอย่างไร และมีความสัมพันธ์อย่างไรกันบ้าง รวมไปถึงเรื่องราวของดาว M-78 รายละเอียดอื่นๆ ที่มีความแตกต่างจากฉบับซีรีส์หลักอยู่บ้าง

อุลตร้าแมนโจเนียส ที่เคยถูกสร้างเป็นอนิเมะมาก่อน แต่ภายหลังมี่การสร้างชุดสำหรับการแสดงจริงขึ้นมาด้วย, ภาพจาก : m-78.jp
ไม่ใช่แค่ในรูปแบบมังงะเท่านั้น อุลตร้าแมนยังเคยถูกสร้างภาคแยกในรูปแบบอนิเมะมาแล้ว อาทิ The☆Ultraman (ต้องมีดาว) เล่าเรื่องของ อุลตร้าแมนโจเนียส ที่มาจากดาว U40 แทนที่จะเป็นดาว M78 ซึ่งมารวมร่างกับโจอิจิโร่ ฮิคาริ โดยใช้อุปกรณ์รูปดาวในการเปลี่ยนร่างและต่อสู้กับสัตว์ประหลาดไม่แตกต่างจากรุ่นพี่อุลตร้าแมนคนอื่นๆ แถมในภายหลังได้ไปปรากฏตัวในภาพยนตร์อุลตร้าแมนอีกด้วย

ภาพจาก : hakabanogarou.jp
อนิเมะอีกเรื่องที่เป็นภาคแยกก็คือ Ultraman USA / Ultraman: The Adventure Begins ภาพยนตร์อนิเมะที่เน้นการเจาะตลาดอเมริกา มีตัวละครอุลตร้าแมนสพิเศษตัว คือ อุลตร้าแมนสก็อต อุลตร้าแมนชัค และอุลตร้าวูเมนเบธ

ภาพจาก : Amazon.co.jp
นอกจากนี้ถ้าดูในฝั่งซีรีส์คนแสดงก็มีภาคแยกย่อยเช่นกัน แต่ทั้งที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลัก ศึกสัตว์ประหลาดพิทักษ์โลก Ultra Galaxy Mega Monster Battle ซีรีส์ที่มนุษย์ต่างดาวนำเอาสัตว์ประหลาดมาดวลกันนั้นก็เกือบจะไม่มีอุลตร้าแมนมาปรากฏตัวเลย แต่มีการเดินเรื่องเชื่อมโยงกับเรื่องของอุลตร้าแมนซีโร่ในภายหลัง

อุลตร้าแมนซีเอิร์ธ ภาคที่ออกมาแซวซีรีส์รุ่นพี่, ภาพจาก : m-78.jp
แล้วก็มีภาคแยกที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาคหลักตรงๆ อย่าง อุลตร้าแมนไนซ์ ที่เน้นขายของเล่นและขนม หรืออุลตร้าแมนซีเอิร์ธ ที่เป็นหนังพาโรดีซีรีส์อุลตร้าแมนเอง (จะบอกว่าชงเองแซวเองก็ไม่ผิด)
ซึ่งถ้ามองภาพรวมแล้ว ภาคแยกของอุลตร้าแมนมักจะเป็นการสร้างงานที่ต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าแบบเฉพาะกลุ่ม อย่างตัว Ultraman ที่ฉายใน Netflix ก็จะเน้นการตีความให้ทันสมัย กับพล็อตเรื่องลึกลับ ตัวละครที่มีปมในใจ สอดคล้องกับแนวทางของคนดูยุคใหม่ในหลายๆ ประเทศที่อินการรับชมซีรีส์ของอเมริกาที่เข้าถึงเรื่องได้โดยง่าย และเชื่อว่าคงจะมีการทำภาคแยกให้สอดคล้องกับความนิยมของยุคสมัยต่อไปในอนาคต

หรือที่มาทำภาคแยกเพราะมีปัญหาการฟ้องร้องของภาคหลัก?

ส่วนนี้เป็นคำถามที่ผู้เขียนได้ยินและสังเกตหลายๆ ท่านที่เห็นตัวอย่างของ Ultraman แล้วคิดไปว่าอนิเมะเรื่องนี้เป็นการตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อรีบูต และเลี่ยงบาลีในกรณีที่มีการฟ้องร้องคดีของอุลตร้าแมนอยู่ในศาลหลายประเทศ ซึ่งจริงๆ แล้วการสร้างอนิเมะภาคนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันนักกับคดีดังกล่าว จากเหตุที่ตัวอนิเมะถูกสร้างมาจากมังงะที่เป็นภาคแยกอีกทอดหนึ่ง แต่ก็คิดว่าควรจะสรุปเรื่องราวของคดีอุลตร้าแมนที่มีการฟ้องร้องระหว่างชาวไทยกับชาวญี่ปุ่นนั่นเอง
คดีฟ้องร้องการละเมิดลิขสิทธิ์ของอุลตร้าแมนเริ่มขึ้นในช่วงที่ บริษัท ซึบูราญ่า โปรดักชั่นส์ พยายามที่จะบุกตลาดต่างประเทศ หนึ่งในนั้นคือการจับมือกับ ไชโย โปรดักชั่นส์ ในการสร้างภาพยนตร์ หนุมานพบเจ็ดยอมนุษย์ และ ยักษ์วัดแจ้งพบจัมโบ้เอ จากนั้นก็มีการกล่าวอ้างว่า คุณสมโพธิ์ แสดงเดือนฉาย ที่เป็นประธานบริษัท ไชโย โปรดักชั่นส์ ได้รับสิทธิ์จากคุณซึบุราญ่า โนโบรุ ลูกชายของคุณซึบุราญ่า เออิจิ ในการถือสิทธิ์ของอุลตร้าแมนทุกภาค (ณ เวลานั้น) ชดเชยแทนการชำระหนี้ที่บริษัททางญี่ปุ่นติดค้างบริษัทในไทยไว้ จนทำให้เกิดปัญหาลิขสิทธิ์ขึ้นมาในภายหลัง
แต่การดำเนินการทางกฎหมายในชั้นศาลเริ่มต้นขึ้นจริงๆ ในปี 1997 เพื่อพิสูจน์ว่าใครเป็นผู้สร้างและเจ้าของสิทธิ์ของตัวละครอุลตร้าแมน การต่อสู้กินเวลายาวนั้นนับตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลฏีกา กินเวลาราว 10 ปี และมีคำพิพากษาศาลอุธรณ์ของประเทศไทยในปี 2007 ทางไชโย โปรดักชั่นส์ไม่สามารถสร้างอุลตร้าแมนภาคใหม่ ก่อนที่จะมีคำพิพากษาจากศาลฏีกาที่ตัดสินให้คุณสมโพธิ์และ ไชโย โปรดักชั่นส์ ไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์ตัวละครอุลตร้าแมน
ถึงเรื่องว่าใครเป็นผู้สร้างและเจ้าของจะสิ้นสุดลง กระนั้นในเรื่องสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายอุลตร้าแมนรุ่นเก่านอกประเทศญี่ปุ่นเป็นเรื่องที่แยกออกมาอีกประเด็นหนึ่ง อย่างในช่วงปี 2004 มีคำพิพากษาออกมาว่า คุณสมโภชน์ได้รับคำตัดสินให้ถือสิทธิ์ภาคเก่าแล้ว ในช่วงเวลาดังกล่าว ไชโยโปรดักชั่นส์ก็ได้ขายสิทธิ์ทำการจัดจำหน่าย DVD อุลตร้าแมนหกภาคแรกในหลายๆ ประเทศ ก่อนจะมอบสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายอุลตร้าแมนหกภาคแรกในอเมริกาให้ บริษัท ยูเอ็ม คอร์เปอเรชั่น เป็นผู้ดูแล แล้วจะเป็นช่วงนี้เองที่มีข่าวการสร้างอุลตร้าแมนฉบับฮอลลีวูดออกมา ความวุ่นวายอีรุงตุงนังนี้เลยทำให้ต้องมีการฟ้องร้องกันต่อในส่วนนี้เพิ่มเติม จนมีคำตัดสินจากศาลแขวงโตเกียวในปี 2010 ที่ระบุว่าทาง ซึบูราญ่า โปรดักชั่นส์ ต้องจ่ายค่าเสียหายให้ไชโย โปรดักชั่นส์ ในฐานะผู้มีสิทธิ์ขายในต่างประเทศ
เวลาผ่านมา 2018 ก็มีคำตัดสินจากศาลแขวงกลางประจำมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ตัดสินว่า ทางซึบูราญ่า โปรดักชั่นส์ เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะเผยแพร่ผลงาน “อุลตร้าแมน” นอกประเทศญี่ปุ่น และผลจากการชนะคดีครั้งนี้ทำให้ทางซึบูราญ่าประกาศว่าจะรุกตลาดนอกญี่ปุ่นด้วยการประกาศความร่วมมือกับบริษัท Starlight Runner Entertainment บริษัทผลิตรายการของทางอเมริกาในการรีบูตหรือสร้างอุลตร้าแมนฉบับใหม่ที่เน้นเจาะตลาดคนดูนอกญี่ปุ่น
เรื่องราวยัปัญหาลิขสิทธิ์ของอุลตร้าแมนยังไม่จบสนิทดีนัก เพราะตอนนี้ทางซึบูราญ่า โปรดักชั่นส์ ยังต้องต่อสู้คดีในประเทศจีนกับ บริษัท BlueArc ที่สร้างภาพยนตร์ของตัวเอง โดยอ้างว่าได้รับสิทธิ์ในการสร้างนี้มาจากทางไชโย โปรดักชั่นส์ และคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่คดีนี้จะสิ้นสุดลง
ทั้งนี้ในช่วงเวลาที่การพิพากษาคดียังไม่ถึงจุดสิ้นสุดนั้น ทางไชโย โปรดักชั่นส์ ได้สร้างอุลตร้าแมนมิลเลเนียมกับอุลตร้าแมนอีลิท ขึ้นมา ก่อนจะยุติการสร้างภาคใหม่ๆ ตามคำตัดสินของศาล

อุลตร้าแมนออร์บที่ใช้พลังของรุ่นพี่ในการแปลงร่าง, ภาพจาก : Youtube Channel: Tsuburaya Prod. Official Channel
ส่วนฝั่งซึบูราญ่าก็เลี่ยงปัญหาด้วยการสร้าง อุลตร้าแมนในจักรวาลอื่นที่ไม่เกี่ยวกับดาว M-78 ขึ้นมาแทน และเมื่อคดีสิ้นสุดลง พวกเขาก็กลับมาสร้างอุลตร้าแมนที่เชื่อมโยงกับพี่น้องตนเก่าๆ กันต่อ อย่างในปี 2016 ก็มีอุลตร้าแมนออร์บที่รวมร่างโดยการใช้พลังของอุลตร้าแมนรุ่นพี่สองตนมารวมเป็นร่างเดียว (ภาค R/B หรือ รู้บ ที่เป็นภาคล่าสุด ณ ตอนที่เขียนนี้ ไม่ค่อยมีรุ่นพี่มาปรากฎตัวเท่าไหร่นักเลยขออ้างถึงภาคเก่ากว่านั้นเล็กน้อย)
ดังนั้น การสร้างอนิเมะ Ultraman นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าสร้างภาคต่อไม่ได้แล้ว แต่เป็นการสร้างงานในคนละรูปแบบเพื่อไม่ให้สับสนกับซีรีส์หลักที่ยังจัดทำอยู่เรื่อยๆ เสียมากกว่า และในช่วงหลัง ซีรีส์ที่สร้างมาเกิน 30 ปี อย่างกันดั้มและมาสค์ไรเดอร์ ต่างก็ปรับการนำเสนอสื่อของตัวเองที่คล้ายๆ กันอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขาตัดสินใจที่จะแยกซีรีส์ออกมาหลายแขนง เพื่อให้ซีรีส์หลักยังโฟกัสกับการสร้างความฝันให้กับเด็กๆ ส่วนซีรีส์ที่กระจายตัวออกมานั้นก็จะปรับเรื่องราวให้กับผู้ชมที่มีอายุมากขึ้น เพราะพวกเขาก็ไม่อินกับการต่อสู้รายสัปดาห์แล้วจบเป็นตอนๆ ไป ซึ่งฝั่งอุลตร้าแมนก็มีอายุอานามแตะหลัก 50 ปี แล้วด้วย พวกเขาจึงต้องการความสดใหม่อย่างที่ไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อนนั่นเอง

และเราก็เชื่อว่าซีรีส์เหล่านี้จะนำความสุขมาให้คนดูเป็นการต่อไปรวมถึงบอกให้คนดูยังมีใจรักความยุติธรรมไว้อยู่เสมอๆ ด้วย


ไคจู

ภาพยนตร์ไคจู หรือสัตว์ประหลาดยักษ์ เป็นหนึ่งในนวัตกรรมภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในช่วงหลายยุคสมัย มีทั้งช่วงที่เป็นกระแสชื่นชอบทั่วโลก บ้างก็อยู่ในช่วงซบเซา และสัตว์ประหลาดยักษ์มากมายหลายตัวก็เป็นที่จดจำในหมู่ผู้ชมเป็นเวลานาน ซึ่งถ้าหากกล่าวถึงสัตว์ประหลาดยักษ์ในดวงใจของคนส่วนใหญ่ ในด้านความยิ่งใหญ่ แข็งแกร่ง และวีรกรรมที่น่าจดจำแล้ว เชื่อว่าในใจของหลาย ๆ ท่านย่อมนึกถึง “ก็อดซิลล่า – Godzilla” อย่างแน่นอน
และในโอกาสนี้ เราจึงจะมาแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับเจ้าสัตว์ประหลาดระดับตำนานจากอดีตจนถึงปัจจุบันกันครับ
A life-size Godzilla head appears on a balcony of the eighth floor of Hotel Gracery Shinjuku at Kabukicho shopping district in Tokyo on April 9, 2015. The Godzilla is a main feature of the new commercial complex comprising a 970-room hotel, movie theathres and restaurants which will be open this month. AFP PHOTO / Toru YAMANAKA (Photo credit should read TORU YAMANAKA/AFP/Getty Images)
ก็อดซิลล่า ถือกำเนิดจากไอเดียของ โทโมยูกิ ทานากะ โปรดิวเซอร์ของสตูดิโอ TOHO ที่กำลังผิดหวังจากผลงานหนังสงครามร่วมสร้างกับฟิลิปปินส์ เป็นหมันอันเนื่องมาจากการต่อต้านของชาวฟิลิปปินส์เอง ซึ่งในขณะที่เขากำลังนั่งเครื่องบินกลับแดนอาทิตย์อุทัยก็ได้อ่านนิตยสารธุรกิจ และพบว่าภาพยนตรืไดโนเสาร์บุกนิวยอร์คเรื่อง The Beast from 20,000 Fathoms ทำรายได้ดีที่อเมริกา จุดนั้นเอง ทำให้เขาเกิดไอเดียอยากสร้างภาพยนตร์สัตว์ประหลาดยักษ์บุกญี่ปุ่นขึ้น
godzillabehind
โปรดิวเซอร์ทานากะ จึงได้ร่วมมือกับ เอย์จิ ซึบุราย่า มือเทคนิคพิเศษ และ อิจิโร่ ฮอนดะผู้กำกับมือฉมัง ในการร่วมคิดไอเดียภาพยนตร์สัตว์ประหลาดบุกโตเกียว โดยมีเป้าหมายคือ สื่อถึงบาดแผลชาวญี่ปุ่นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จากระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ โดยได้ไอเดียจากการนำไดโนเสาร์ไทแรนโนซอรัส (Tyrannosaurus – ไดโนเสาร์กินเนื้อ ยืนสองขา) และ สเตโกซอรัส (Stegosaurus – ไดโนเสาร์ที่มีแผงหลังเรียงเป็นแถว) มาผสมกันพร้อมกับออกแบบผิวหนังให้ดูแตกเป็นริ้ว ๆ เสมือนเป็นบาดแผลจากนิวเคลียร์
Godzilla 1954 (ก็อดซิลล่าตัวแรกสุด)
gojira-1954-jon-2
นี้คือก็อดซิลล่าตัวแรกสุดที่ปรากฏตัวออกมา และเป็นตัวแรกของทุกไทม์ไลน์ภาพยนตร์ก็อดซิลล่า (ยกเว้นเวอร์ชั่นอเมริกา) ก็อดซิลล่าตัวนี้เป็นไดโนเสาร์ดึกดำบรรพ์ลึกลับที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนเคยค้นพบ มันหลับจำศีลใต้มหาสมุทรแปซิฟิคเป็นเวลาหลายล้านปี ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาด้วยน้ำมือมนุษย์จากการทดลองนิวเคลียร์ และออกมาอาละวาดบนโตเกียวจนราบเป็นหน้ากอง
godzilla-1954-main-review
สำหรับรูปโฉมของก็อดซิลล่าตัวนี้ หน้าตาของมันจะมีดวงตาเล็ก ๆ และบิดเบี้ยวไปบ้าง อันเนื่องมาจากเทคนิคการสร้างชุดในตอนนั้นยังไม่ดีพอ ทำให้การปั้นหน้าออกมาไม่ได้เป๊ะ รวมถึงรูปร่างดูมือเล็กและพิการไปบ้าง แต่ด้วยการที่หนังเลือกที่จะนำเสนอแบบหนังขาวดำ ทำให้ช่วยปกปิดจุดบกพร่องเรื่องชุด และเสริมความน่ากลัวของมันเข้าไป ก็อดซิลล่าตัวนี้มีความสูงน้อยที่สุดในทุก ๆ ตัว เพราะมีความสูงเพียงแค่ 50 เมตรเท่านั้น (ซึ่งแม้ว่าจะน้อย แต่ในสมัยนั้นที่ตึกสูง ๆ ยังมีไม่มากก็ถือว่าสูงเท่าตึกส่วนใหญ่แล้ว) มีความสามารถในการพ่นไฟ Atomic Breath หลอมละลายทุกอย่างในพริบตา
godzilla-1954-dr-serizawa
ในจุดจบของภาพยนตร์ ก็อดซิลล่าตัวนี้เสียชีวิตจากน้ำมือของ ดร.เซริซาว่า ที่ประดิษฐ์อาวุธร้ายชื่อว่า อ๊อกซิเจนเดสทรอยเยอร์ ที่ทำลายสิ่งมีชีวิตที่ใช้อ๊อกซิเจนในการหายใจทุกตัว รวมถึงก็อดซิลล่าด้วย แต่ว่าซากของมันที่ยังอยู่ในทะเล ได้ถูกนำมาใช้ในภาพยนตร์ภาคอื่น ๆ หลังจากนี้อีกมากมาย รวมถึงเหตุการณ์ในก็อดซิลล่าภาคนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของหนังก็อดซิลล่าญี่ปุ่นแทบทุก ๆ ภาคที่สร้างต่อมา
Showa Godzilla (ก็อดซิลล่ายุคโชวะ)
5241825-6295306_orig
หลังจากการตายของก็อดซิลล่าตัวแรก  และความนิยมอย่างมหาศาลของภาพยนตร์ จึงไม่แปลกที่ TOHO จะรีบเข็นภาคต่อออกมาในชื่อ Godzilla Raids Again ซึ่งภาคนี้ก็อดซิลล่าจะเป็นตัวใหม่ที่หลับไหลอยู่ในโลกและตื่นขึ้นมาจากการทดลองนิวเคลียร์ที่ชายฝั่งโอซาก้า ซึ่งในภาคนี้มันก็ได้ปะทะกับไดโนเสาร์โบราณอีกตัวที่มีหนามเต็มหลังนาม แองกีรัส และออกอาละวาดอีกหลายครั้ง โดยโชวะก็อดซิลล่านับเป็นก็อดซิลล่าที่ปรากฏตัวเยอะที่สุดในหนังซีรีส์นี้ เพราะปรากฏตัวมากถึง 14 ภาค และยังมีคู่ปรับมากที่สุดในก็อดซิลล่าทุก ๆ ภาคอีกด้วย
GVH_-_Godzilla_Attempting_Rider_Kick
ไม่เพียงเท่านี้ โชวะก็อดซิลล่า ยังเป็นก็อดซิลล่าตัวแรกที่ได้ปะทะกับคู่ปรับตลอดกาลหลายตัวอย่างมอธร่า คิงกิโดร่า เมก้าก็อดซิลล่า โดยความสูงของมันยังอยู่ในระดับไม่เกิน 50 เมตรเช่นเดียวกับตัวแรก หน้าตาของโชวะก็อดซิลล่ามีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดตัวนึงของซีรีส์ เนื่องจากต้องเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับตลาดของหนังที่เจาะไปทางกลุ่มเด็ก ๆ แทน ฉะนั้นก็อดซิลล่าตัวนี้จะมีความดุร้ายเพียงแค่ช่วงแรก ๆ ของเรื่อง ก่อนจะปรับลักษณะนิสัยใหม่อันเนื่องมาจากมันมีลูกชายนาม มินิล่า ทำให้มีความอบอุ่นและใจดีขึ้น จนในที่สุดมันได้กลายเป็นพวกเดียวกับฝั่งมนุษย์ และคอยปกป้องญี่ปุ่นแทน
godzillahandshake
นอกจากนี้โชวะก็อดซิลล่ายังถือเป็นก็อดซิลล่าที่มีความสามารถหลากหลายมากที่สุดในซีรีส์ ไล่มาตั้งแต่ Atomic Breath ที่กลายเป็นลำแสงสีฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์จนถึงปัจจุบัน ต่อมาเริ่มมีความเป็นมนุษย์สูงขึ้นมาก ทั้งกระโดดโลดเต้นได้ ชูสองนิ้วได้ จับศัตรูเหวี่ยง พูดคุยกับสัตว์ประหลาด ไปจนถึงการใช้หางไถลพื้นกระโดดเตะขาคู่ใส่ศัตรู ไปจนถึงอึดระดับมหากาฬที่ไม่มีอาวุธชิ้นไหนของมนุษย์ทำอะไรมันได้ เรียกว่าทุกความสามารถโอเวอร์จนผิดกับขนาดตัวของมัน แต่นั่นคือเพื่อเปิดตลาดให้กับเด็ก ๆ โชวะก็อดซิลล่าปรากฏตัวครั้งสุดท้ายในภาค Terror of Mechagodzilla หลังจากที่มันสู้ศึกมายาวนาน ก็อดซิลล่าผู้แสนดีตัวนี้ก็กลับลงทะเลและหลับไหลไปตลอดกาล เป็นอันปิดฉากโชวะก็อดซิลล่าลงเพียงเท่านี้
Behind_the_Scenes_Destroy_All_Monsters
ทว่า สาเหตุในโลกจริงของการสิ้นสุดโชวะก็อดซิลล่านั้น ก็เพราะการเสื่อมความนิยมทั้งรายได้และกระแสในหนังชุดก็อดซิลล่าจน TOHO ต้องยุติการสร้างไปนั่นเอง
Heisei Godzilla (ก็อดซิลล่ายุคเฮเซ)
5114599-gzilla60
ถ้าให้พูดจริงจัง ยุคนี้น่าจะเป็นก็อดซิลล่าที่แฟน ๆ ชอบที่สุด และติดตาหลาย ๆ คนที่พึ่งมารู้จักก็อดซิลล่ามากที่สุด (ตามเจนเนอเรชั่นที่ตลาดวิดีโอและภาพยนตร์ในไทยเริ่มคึกคักกว่ายุคก่อนหน้านี้ ที่ก็อดซิลล่าบางภาคอาจหาดูได้จากช่องโทรทัศน์เท่านั้น) ซึ่งด้วยดีไซน์ของเฮเซก็อดซิลล่าที่ดุดัน กำยำน่าเกรงขามกว่าที่ผ่านมา พร้อมทั้งตัวภาพยนตร์ที่เป็นซีรีส์ Heisei ทั้งหมด 7 ภาค ล้วนสนุกเข้มข้นและยอดเยี่ยมจนกลายเป็นหนังขวัญใจหลาย ๆ คนในวัยเด็ก โดยเฮเซก็อดซิลล่าจะมีจุดกำเนิดที่แตกต่างจากตัวแรกและโชวะ เพราะแต่เดิมมันคือไดโนเสาร์พันธุ์ ก็อดซิลล่าซอรัส ที่จำศีลและตื่นขึ้นมาอันเนื่องมาจากการทำสงครามของทหารญี่ปุ่นและอเมริกาบนเกาะ ทำให้มันตื่นขึ้นและอาละวาดไปทั่ว สุดท้ายมันถูกจู่โจมจากทหารสหรัฐอเมริกาจนอาการปางตาย แต่แล้วการทดลองนิวเคลียร์ทำให้มันคืนชีพและกลายพันธุ์จนกลายเป็น ก็อดซิลล่า
Godzillasaurus_0
ก็อดซิลล่ายุคเฮเซนี้ ปรากฏตัวครั้งแรกใน Godzilla 1984 ภาพยนตร์ที่ TOHO กลับมาทำอีกครั้งหลังจากที่พบว่ายอดเช่าและขาย VHS ของโชวะก็อดซิลล่าทำรายได้ดี จนน่าจะนำกลับมาสร้างใหม่ โดยอ้างอิงเหตุการณ์จากภาคก่อนเพียงแค่ Godzilla 1954 และตัดความต่อเนื่องในช่วงยุคโชวะทิ้งทั้งหมด แล้วตีความก็อดซิลล่าให้กลับมาเป็นสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายและเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติอีกครั้ง
movieSuit13_03
โดยความสามารถของก็อดซิลล่าตัวนี้ จะมีความสูงไล่ตั้งแต่ 80 เมตร ไปจนถึง 100 เมตร (ซึ่งปรับสเกลความสูงเพิ่มตามตึกรามบ้านช่องที่สูงขึ้นในสมัยนั้น) ความสามารถที่ปล่อย Atomic Breath ได้อย่างรุนแรงก็มีอยู่เช่นเดิม รวมถึงยังเป็นการเปิดเผยเรื่องราวของ G-Cell เซลล์ในร่างกายของก็อดซิลล่าที่มีพลังในการฟื้นตัวขั้นสุดยอดจนแทบทำให้มันกลายเป็นอมตะ ซึ่งเป็นสิ่งที่อธิบายความอึดระดับมหากาฬของก็อดซิลล่าทุก ๆ ตัว และยังเป็นแกนหลักของเนื้อหาในยุคเฮเซ ที่มนุษย์พยายามแก่งแย่งชิง  G-Cell มาเป็นของตนเองเพื่อเป้าหมายบางอย่าง
Godzilla_vs_spacegodzilla_bild_2
โดยเจ้า  G-Cell ยังกลายพันธุ์ไปเป็นศัตรูของก็อดซิลล่ายุคนี้อย่าง ต้นไม้ปีศาจ Biolante ที่นำ G-Cell ไปผสมกับต้นไม้และจระเข้ หรือ Space Godzilla ที่เกิดจากการที่ G-Cell ของก็อดซิลล่าซึ่งติดร่าง Mothra ล่องลอยไปในอวกาศจนเกิดการกลายพันธุ์ นอกจากนี้ ก็อดซิลล่าตัวนี้ก็มีลูกชายนามว่า ก็อดซิลล่าจูเนียร์ ที่เกิดจากไข่อีกด้วย
Burning Godzilla (ศึกอวสานก็อดซิลล่า)
3550524-4
ที่จริงแล้ว Burning Godzilla ก็เป็นก็อดซิลล่าเฮเซตัวเดียวกัน แต่เนื่องจากดีไซน์ที่เปลี่ยนไป และเป็น 1 ในดีไซน์ที่แฟน ๆ ก็อดซิลล่าจดจำกันมากที่สุดจึงขอแยกออกมาครับ โดยร่าง Burning จะมีรูปลักษณ์แบบเดียวกับก็อดซิลล่ายุคเฮเซยกเว้นบริเวณตัวมันจะมีผิวส่วนใหญ่เป็นสีส้มเพลิง ดวงตาสีส้ม และมีเปลวควันระอุพวยพุ่งออกมาตลอดเวลา อันเนื่องมาจากปฏิกิริยากัมมันตภาพรังสีในตัวของมันเกิดความร้อนมากขึ้นจนแสดงออกมาเป็นสีผิวส้มเพลิง และตามท้องเรื่อง มันได้กลายเป็นระเบิดนิวเคลียร์ขนาดใหญ่เดินได้ไปแล้ว เพราะร่างกายของมันพร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา และระเบิดนั้นจะสร้างความเสียหายให้กับโลกอย่างใหญ่หลวง รวมถึง Atomic Breath ที่เคยเป็นสีฟ้าก็เปลี่ยนไปเป็นสีส้มเช่นกัน
5499518681_a73facbfd3_o
Burning Godzilla ปรากฏตัวในภาค Godzilla vs Destoroyah ภาคเดียว และถือเป็นการปิดฉากยุคเฮเซของก็อดซิลล่าลงด้วย   (ในชื่อไทยว่า ศึกอวสานก็อดซิลล่า) ท้ายเรื่องนั้น จากความแค้นที่ก็อดซิลล่าจูเนียร์ถูกสังหาร ทำให้มันเอาชนะ Destoroyah สัตว์กลายพันธุ์จากทะเลที่แข็งแกร่งมากได้สำเร็จ ในที่สุด ร่างของก็อดซิลล่าก็ไม่อาจทนความร้อนได้อีกต่อไปและกำลังจะระเบิด ทางฝ่ายมนุษย์จึงได้ส่ง Super X3 ฉีดสารแช่แข็งเพื่อหยุดยั้งการระเบิดนั้น และนั่นทำให้ร่างของก็อดซิลล่าหลอมละลายจนเหลือแต่กระดูกและสิ้นชีพไป ก่อนที่ตอนจบ ได้ปรากฎเงาของก็อดซิลล่าจูเนียร์ ลุกขึ้นมาจากความตายและคำรามแทนผู้ชุบเลี้ยงที่เสียชีวิตไป เป็นการบอกใบ้กลาย ๆ ว่า ถ้ามีภาพยนตร์ก็อดซิลล่าถัดจากนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องราวของมันนั่นเอง
American Godzilla 1998
godzilla-9
ที่จริงแล้ว ทางอเมริกามีความนิยมในหนังก็อดซิลล่ามาซักระยะนึงแล้ว ในฐานะหนังคัลท์ และเป็น 1 ในวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นที่ชนชาติอเมริกันรู้จักไม่แพ้ ซามูไร และ นินจา การพยายามนำก็อดซิลล่าไปสู่แวดวงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด มีมาตั้งแต่จบยุคโชวะ แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันอันเนื่องมาจากไม่มีสตูดิโอไหนกล้าให้ทุนสร้างกับภาพยนตร์ที่เอาคนมาใส่ชุดยางตบตีกัน แต่ในที่สุดความฝันก็เป็นจริงเมื่อปี 1997 หลังจากความสำเร็จของ Independence Day ของผู้กำกับโรแลนด์ เอเมอริช ทำให้เจ้าตัวไปขอ TriStar อยากที่จะสร้างก็อดซิลล่าของอเมริกาขึ้นมา เนื่องด้วยเครดิตที่ดีทำให้เค้าได้ทุนสร้าง และเดินการถ่ายทำในทันที
godzilla-1998
America Godzilla มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Zilla อันเนื่องมาจากแฟน ๆ บางส่วนไม่ยอมรับให้มันเป็นก็อดซิลล่าจึงตัดคำว่า God ออกไป โดยเจ้าตัวนี้เปลี่ยนดีไซน์จากเดิมที่เป็นไดโนเสาร์กลายพันธุ์ กลายเป็นกิ้งก่าอีกัวน่าที่กลายพันธุ์จากการทดลองนิวเคลียร์ โตผิดขนาดตนมีลักษณะคล้ายกับไดโนเสาร์ โดยมันบุกขึ้นมาถล่มนิวยอร์ค และวางไข่เพื่อขยายพันธุ์ที่ Madison Square Garden อันเนื่องมาจากมันกลายพันธุ์มาจากอิกัวน่า ทำให้มันมี 2 เพศในตัวและวางไข่ได้ทันทีโดยไม่ต้องมีการสืบพันธุ์
0
Zilla มีความสูงราว ๆ 60 เมตร มีแผงหลังหนาม ๆ คล้ายก็อดซิลล่าดั้งเดิม แต่ไม่มีท่า Atomic Breath อันเป็นเอกลักษณ์ มีเพียงแค่การพ่นลมหายใจความแรงสูงจนทำให้รถระเบิดได้ ไม่มีความอึดระดับมหากาฬ แต่แลกมาด้วยความว่องไวและความเร็วในการเคลื่อนที่ซึ่งมากที่สุดในบรรดาก็อดซิลล่าทั้งหมด (นึกถึงไดโนเสาร์ใน Jurassic Park ได้) นอกจากนี้มันยังสามารถปีนตึกได้ มีความฉลาดในการซ่อนตัวและหลอกล่อศัตรู จึงนับว่าเป็นก็อดซิลล่าที่มีความฉลาดมากที่สุดด้วยถ้าเทียบกับคู่ต่อสู้อย่างมนุษย์
d8aOyxSMD7oQGFsPORCU8AJ6EQ3
จุดจบของ Zilla มาจากการที่มันถูกหลอกล่อให้ไปติดสายเคเบิ้ลบนสะพาน และถูกทหารถล่มยิงด้วยมิซไซล์จนเสียชีวิต แต่ในตอนท้ายก็มีการเปิดเผยว่า ยังมีไข่ที่รอดชีวิตจากการถล่มของทหารที่ Madison Square Garden อยู่ เผื่อไว้ทำภาคต่อ ซึ่งน่าเสียดายที่แม้หนังจะทำเงิน แต่การตอบรับจากนักวิจารณ์ ผู้ชม และเหล่าแฟนคลับก็อดซิลล่าออกมาแง่ลบแบบสุด ๆ ทั้งจุดที่แตกต่างจากก็อดซิลล่าดั้งเดิมมากเกินไป ไปจนถึงความไม่สมเหตุสมผลหลาย ๆ อย่างในเรื่อง จนถึงขนาดว่าคุณเคนปาชิโร่ ซัตสึมะ ผู้สวมชุดก็อดซิลล่ายุคโชวะต้องออกจากโรงทั้งที่หนังฉายไปไม่จบ เพราะทนดูในสิ่งที่เห็นบนจอไม่ได้ ในขณะเดียวกัน ฝ่ายที่เดือดที่สุดก็เห็นจะเป็น TOHO เพราะถึงกับไม่อนุญาติให้ Tristar สร้างภาคต่อ จึงทำให้เนื้อหาหลังจากนี้ออกมาในรูปแบบของ อนิเมชั่นฉายทางโทรทัศน์แทน และนำเสนอการต่อสู้ของ Zilla ตัวใหม่กับสัตว์ประหลาดอื่น ๆ
Millennium Godzilla
5371254-godzilla_2000_poster_crop
หลังจากที่ฮอลลีวู้ดได้พลิกโฉมก็อดซิลล่าจนขัดใจแฟน ๆ ทั่วโลกไป ทำให้แผนเดิมที่ TOHO จะปิดตำนานหยุดสร้างก็อดซิลล่าตั้งแต่ภาค Godzilla vs Destoroyah นั้นต้องเป็นอันยกเลิก และรีบสร้างก็อดซิลล่าภาคใหม่ขึ้นมาเพื่อเป็นรีแบรนด์สิ่งที่ฮอลลีวู้ดทำเอาไว้ขึ้นมาใหม่ปี 1999 ซึ่งถือเป็น Millennium Godzilla
Godzilla_vs._Megaguirus_-_Godzilla_side_view
Millennium Godzilla จะแตกต่างจากยุคอื่น แต่ไม่ใช่ในแง่ดีไซน์ เพราะพื้นฐานดีไซน์ตัวแรกจะมีลักษณะคล้ายกับตัวของยุคเฮเซแต่รูปร่างดูผอมเพรียวขึ้น และหน้าตาก็ดูหล่อขึ้น (รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ นะ) แต่ในจำนวน 6 ภาคของ Millennium Godzilla นั้น ก็อดซิลล่าจะไม่ใช่ตัวเดียวกัน หรือ ไม่ได้เดินเรื่องต่อกัน จะมีเพียงแค่ภาค Godzilla  x Mechagodzilla และ Godzilla x Mothra x Mechagodzilla Tokyo SOS ที่จะมีการดำเนินเรื่องต่อกัน นอกนั้นแต่ละภาคจะไม่เกี่ยวข้องกันใด ๆ ทั้งสิ้น แม้จะเป็น Millennium เหมือนกันก็ตาม (และแน่นอน เรื่องราวทุกภาคของยุคนี้ จะไม่เกี่ยวข้องก็อดซิลล่ากับยุคโชวะ และ เฮเซ แต่จะอิงกับแค่ภาคแรก 1954 เท่านั้น)
โดยก็อดซิลล่ายุค Millennium นี้จะขอแบ่งออกเป็น 3 แบบ ซึ่งขอเรียกตามสไตล์ของผู้เขียน
AOrCG
แบบธรรมดา – จะปรากฏตัวในภาค 1999 , Megagirus , Godzilla  x Mechagodzilla และ Godzilla x Mothra x Mechagodzilla จะมีลักษณะเหมือนตัวเฮเซแต่รูปร่างเพรียวลมกว่า สเกลส่วนสูงก็ปรับลดไปเหมือนยุคโชวะ ซึ่งจุดกำเนิดไม่ทราบแน่ชัด เพราะไม่มีการเฉลยออกมาในภาพยนตร์ (แต่บ้างก็เชื่อกันว่าต่อยอดมาจากจูเนียร์ที่คืนชีพมาจากภาค Godzilla vs Destoroyah ซึ่งตัวยังไม่ใหญ่มากนัก) ความสามารถเบื้องต้นก็ใกล้เคียงกับก็อดซิลล่าที่ผ่าน ๆ มา
GMK_-_Godzilla_Charges_His_Atomic_Heat_Ray_(1)
แบบ GMK – ปรากฏตัวในภาค Godzilla x Mothra x KingGhidorah ซึ่งตัวนี้จะแตกต่างไป รูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกับตัวปี 1954 แต่มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย จุดเด่นที่สุดคือดวงตาของมันเป็นสีขาวทั้งดวงดูอำมหิต โดยเจ้าตัวนี้คือตัวแรกสุดในปี 1954 ที่คืนชีพขึ้นมาจากวิญญาณอาฆาตของทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้มันตื่นขึ้นมา โดยมีความโหดแบบชนิดสุดขีด ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า สามารถทำได้แม้กระทั้งการพ่น Atomic Breath ทะลุโลก และสุดโกงคือมันสามารถคืนชีพได้ทุกรูปแบบแม้ว่าจะเหลือแค่หัวใจก็ตาม ซึ่งในภาคนี้ สัตว์ประหลาดตัวอื่น ๆ รวมถึงตัวที่เคยเป็นวายร้ายอย่าง KingGhidorah จะกลายมาเป็นฝ่ายดี รวมพลังกันต่อสู้กับก็อดซิลล่าแทน แต่แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถล้มราชันได้
file_173093_0_Godzilla Final Wars Header
แบบ Final Wars – ปรากฏตัวในภาค Godzilla Final Wars อันเป็นภาคสุดท้ายที่ TOHO จะสร้าง (คำยืนยันในตอนนั้น) เพราะรายได้ที่หดหายไปมากของก็อดซิลล่าเนื่องจากภาพยนตร์แนวไคจูนั้นเสื่อมความนิยมลง ทำให้ TOHO ตัดสินใจปิดฉากด้วยภาค Final Wars นั่นเอง ซึ่งภาคนี้ ก็อดซิลล่าจะมีรูปร่างผอมเพรียวมากที่สุด มีสัดส่วนที่คล้ายมนุษย์ ทำให้มันสามารถออกท่าทางได้มากกว่าก็อดซิลล่าตัวอื่น ๆ ทั้งการวิ่งในระยะสั้น ๆ การโยนศัตรู เหวี่ยงหางแบบโหด ๆ  พ่น Atomic Breath แบบรุนแรง และอื่น ๆ ที่คุณไม่คิดว่าก็อดซิลล่าจะทำได้ มันก็พยายามทำให้เราเห็น ซึ่งเลยมีทฤษฏีที่ออกมาบอกว่า เจ้าตัวนี้มันคือ โชวะก็อดซิลล่า ที่หลับไหลและตื่นขึ้นมา อันเนื่องมาจากความสามารถสุดโม้มากมาย และการต่อสู้เพื่อปกป้องโลก ก็มีความใกล้เคียงกับโชวะก็อดซิลล่า และการปรากฏตัวของมินิล่า (ลูกชายของก็อดซิลล่ายุคโชวะ) ทำให้แฟน ๆ หลายคนคาดเดากันไปในนั้น แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่มีเฉลยในภาพยนตร์ อย่างไรก็ตาม ก็อดซิลล่าในภาคนี้ถือว่าพยายามรวมฮิตทุก ๆ อย่างที่แฟน ๆ ชื่นชอบ ทั้งการรวมพลสัตว์ประหลาดแทบทุกตัวที่เคยปรากฎมาในซีรี่ยส์ยุคโชวะ เต็มไปด้วยฉากต่อสู้อันดุเดือดแทบทั้งเรื่อง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการปิดฉากที่สมกับชื่อ Final Wars ทีเดียว แต่ก็มีเสียงวิจารณ์อยู่บ้างว่าหนังใส่ทุกอย่างมา “เยอะเกินไป” จนไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำเป็นพิเศษ
Legendary Godzilla
godzilla-2014-pictures-new
แม้ว่าภาพยนตร์ก็อดซิลล่าฉบับญี่ปุ่นจะยุติการสร้างไป แต่แฟน ๆ หลายคนทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ก็ยังคงคาดหวังการกลับมาของราชันสัตว์ประหลาดตัวนี้อยู่ ซึ่งก็ดูเหมือนฝั่งที่สนใจจะนำมันกลับมาจริง ๆ คือ ฮอลลีวู้ด โดยคราวนี้เป็นหน้าที่ของ Legendary Picture ที่อยากจะสร้างก็อดซิลล่าออกมาเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบ 60 ปี ของซีรีส์นี้ที่จะมาในปี 2014 ซึ่งการเจรจาก็ไปได้สวยดี อาจจะเพราะกาลเวลาเยียวยาให้ TOHO ไว้ใจฮอลลีวู้ดว่าจะไม่ทำอะไรเพี้ยน ๆ แบบปี 1998 ออกมา และผลงานก็ออกมาดูดีตามที่หวังไว้เสียด้วย
Godzilla-2014-Weekend-Box-Office-We-Live-Film
สำหรับก็อดซิลล่าฉบับ Legendary นั้นสิ่งที่ชัดเจนอย่างแรกเลยคือ มันตัวใหญ่อ้วนท้วมสมบูรณ์มาก จนหลายคนเรียกชื่อเล่นมันว่า พี่หมี และมีขนาดตัวใหญ่ที่สุดในบรรดาก็อดซิลล่าทั้งหมด (บ้างก็มีความเห็นอธิบายว่า เพราะด้วยขนาดที่ใหญ่มาก ตามหลักฟิสิกส์ก็จำเป็นต้องมีรูปร่างที่ใหญ่โตเพื่อรองรับน้ำหนักที่มากนั่นเอง) โดยในภาพยนตร์ระบุว่า ก็อดซิลล่าคือสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่อยู่บนโลกมาช้านาน แต่มันเกือบสูญพันธ์ไปจากการโจมตีและวางปรสิตภายในตัวของสัตว์ประหลาดนาม MUTO แต่ก็ไม่ใช่หายไปทั้งหมด ในช่วงปี 1954 มีก็อดซิลล่าที่เหลือรอดจากการล้างเผ่าพันธ์ตื่นจากการจำศีลและแหวกว่ายไปบริเวณเกาะแห่งหนึ่ง ทำให้ทางกองทัพสหรัฐต้องรีบจัดฉากทำเป็นการทดลองนิวเคลียร์บนเกาะนั้น แต่จริง ๆ คือแผนการสังหารเจ้าก็อดซิลล่า จากนั้นมันก็หายสาบสูญไป จนกระทั้ง 60 ปีต่อมาในปี 2014 มันได้กลับมาเนื่องจากมันสัมผัสถึงการมาของเจ้า MUTO ศัตรูคู่อาฆาตทางธรรมชาติ ที่มนุษย์ได้ทำการทดลองจนปลุกมันขึ้นมาถึง 2 ตัว ก็อดซิลล่าเลยต้องไปหยุดยั้งเพื่อคุมสมดุลของธรรมชาติใหม่อีกครั้ง
godzilla-atomic-breath-vs-muto
ซึ่งดูแล้ว ก็อดซิลล่าตัวนี้แม้ว่าจะออกมาจัดการกับศัตรูทางธรรมชาติ แต่ในทางกลับกัน ก็ดูจะเป็นมิตรกับมนุษย์คล้าย ๆ กับโชวะก็อดซิลล่าไปด้วย และความสามารถของมันก็เหมือนก็อดซิลล่าดั้งเดิมครบถ้วน อันได้แก่ความอึดมหากาฬและ Atomic Breath อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งภาพยนตร์ได้รับคำชมและรายได้ที่ดี จนมีเป้าหมายที่จะสร้างภาค 2 ออกฉายในปี 2019 นี้แล้ว
Shin Godzilla (Godzilla Resurgence)
godzilla_resurgence_1_screenshot_h_2016
ให้หลังจากความสำเร็จของ Legendary Godzilla ไม่นาน ทาง TOHO ญี่ปุ่นก็ตัดสินใจกลับมาวางโปรเจ็คคืนชีพก็อดซิลล่าแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ อีกครั้ง โดยได้มีการประกาศข่าวอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2015 และวางแผนออกฉายช่วงฤดูร้อนปี 2016 โดยใช้ชื่อว่า Shin Godzilla ซึ่งคำว่า Shin ในภาษาญี่ปุ่นนั้น ถ้าไม่มีคันจิกำกับแล้วจะตีความจากคำอ่านได้สองอย่างคือคำว่า “ใหม่” หรือ “แท้จริง” จึงมีแฟน ๆ วิเคราะห์กันไปต่าง ๆ นา ๆ บ้างก็มองว่า Legendary 2014 นั้น ก็อดซิลล่าดูเป็นฝ่ายดีมากเกินไป ยังถือว่าขัดกับตัวตนดั้งเดิมของก็อดซิลล่าที่ควรจะเป็นอยู่ จึงทำให้เป็นที่มาของก็อดซิลล่าตัวใหม่ตัวนี้
anno-dan-higuchi-godzilla-2016-3
อย่างไรก็ตาม โปรเจ็คของ Shin นั้นเปิดตัวด้วยทีมงานที่น่าจับตามองมาก ไม่ว่าจะเป็น Hideaki Anno ผู้กำกับภาพยนตร์ Evangelion อันโด่งดังและเป็นที่โจษจันทางด้านมุมมองการนำเสนออย่างมาก และ Shinji Higuchi ผู้กำกับภาพยนตร์ Attack on Titan ฉบับคนแสดง ที่อาจจะไม่เป็นที่ปลื้มของแฟน ๆ มากนัก แต่เขาก็มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคโปรดักชั่นผสมผสานกับโมเดลและซีจีที่มีเอกลักษณ์สูง โดยทั้งสองคนจะมาเป็นผู้กำกับร่วมในสุดยอดผลงานชิ้นนี้ ภายใต้คำโปรโมตว่า “นี่จะเป็นก็อดซิลล่าที่น่ากลัวที่สุดตัวหนึ่ง”
G16_Leaked
ปัจจุบันขณะที่ทุกท่านได้อ่านบทความนี้ ภาพยนตร์ได้มีการฉายในประเทศญี่ปุ่นและประสบความสำเร็จในด้านรายได้อย่างงดงามแล้ว ส่วนในประเทศไทย ได้มีการฉายรอบพิเศษที่ House RCA ในวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา และจะเริ่มฉายรอบปกติตั้งแต่วันที่ 8 กันยายนเป็นต้นไป ดังนั้นแฟน ๆ ชาวไทยส่วนมากก็คงยังไม่ได้รับชมกัน
vlcsnap-1748864
Alt-Godzilla-Returns-Japan-1200
สำหรับตัวก็อดซิลล่าในภาพยนตร์เรื่องนี้ มีรูปโฉมที่แตกต่างจากก็อดซิลล่าที่ผ่านมาไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยส่วนสูงที่สูงใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา (118.5 เมตร) และมีผิวพรรณที่ดูน่าสยดสยอง คล้ายกับเนื้อเยื่อสีเทาเข้มที่เป็นแผลเหวอหวะทั้งตัวเผยให้เป็นผิวเนื้อสีแดงภายในซ้อนอยู่ ใบหน้าที่มีฟันเรียงเผยออย่างน่ากลัว และมีดวงตากลมไร้ชีวิตชีวา รวมถึงหางที่ยาวยืดจนดูแปลกตาและยังมีอวัยวะคล้ายโครงกระดูกที่ปลายหางผุดออกมาด้วย ทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ทั้งเสียงชื่นชอบและเสียงขยะแขยงเลยทีเดียว แต่ก็สมกับที่โปรโมตไว้ว่าจะเป็นก็อดซิลล่าที่น่ากลัวที่สุดตัวหนึ่งนั่นเอง และเชื่อว่าด้วยชื่อชั้นของผู้กำกับนั้น ก็อดซิลล่าตัวนี้จะต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็นอย่างแน่นอน
vlcsnap-1743535